ยาเม็ด คุมยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม
ประกอบด้วย ฮอร์โมนเอสโตรเจน + โปรเจสติน
ทำหน้าที่ : ยับยั้งการตกไข่ , ทำให้มูกช่องคลอดข้นขึ้น , ป้องกันอสุจิเคลื่อนตัวผ่านปากมดลูก และ ทำให้ผนังมดลูกไม่เหมาะกับการฝังตัว
ข้อดี
เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ไม่ชอบวิธีการคุมกำเนิด แบบที่ต้องใส่ หรือ ฝังภายในร่างกาย
ช่วยบรรเทาความรุนแรงของกลุ่มอาการประจำเดือนได้ด้วย
ข้อเสีย
ต้องรับประทาน ตรงเวลา และ เป็นประจำทุกวัน หากลืมรับประทานยา ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดรูปแบบอื่นร่วมด้วย
อาจมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง อารมณ์แปรปรวน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ความดันโลหิตสูง น้ำหนักขึ้น
อาจเสี่ยงเกิด ลิ่มเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะหัวใจวาย โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่หรือมีอายุ 35 ปีขึ้นไป อาจเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงได้มากขึ้น
ประสิทธิภาพ 92 - 99 %
ยาเม็ด คุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว
มี ฮอร์โมนโปรเจสติน อย่างเดียว
ส่งผลต่อการตกไข่ ช่วยให้มูกช่องคลอดข้นขึ้น ป้องกันห้อสุจิเคลื่อนตัวผ่านปากมดลูก และทำให้ผนังมดลูกไม่เหมาะแก่การฝังตัว
ข้อดี
เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบวิธีที่ต้องใส่หรือฝังภายในร่างกาย
ข้อเสีย
ประสิทธิภาพน้อยกว่าชนิดฮอร์โมนรวม
จำเป็นต้องรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน หากลืมรับประทานต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดรูปแบบอื่นร่วมด้วย
อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก น้ำหนักขึ้น เป็นต้น
ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิด 90-97 %
ยาคุมกำเนิด
ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและมะเร็งรังไข่ได้เล็กน้อย
เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งตับได้เล็กน้อย เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นอกจากยาคุมกำเนิดเหล่านี้ อาจมีปัจจัยอื่นอีกมากมายที่ทำให้เกิดมะเร็งได้
วิธีการป้องกันแบบต่างๆนั้น ไม่มีวิธีใดได้ผล 100 %
ยาคุมแบบฉีด
ฉีด ฮอร์โมนโปรเจสติน ทุก ๆ 3 เดือน
ส่งผลต่อการตกไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก และเพิ่มความข้นให้แก่มูกช่องคลอด เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์
ข้อดี
ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก เพียงไปตามกำหนดที่แพทย์นัดหมาย
ช่วยคุมกำเนิดได้สูงสุด 1 ปี นับจากการฉีดยาคุมกำเนิดครั้งสุดท้าย ขึ้นอยู่กับชนิดของยาคุมกำเนิดที่ใช้
ข้อเสีย
ผลข้างเคียง เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีเลือดออกระหว่างรอบเดือน คลื่นไส้ ปวดศีรษะ รู้สึกซึมเศร้า โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่อาจพบผลข้างเคียงได้มากขึ้น
หากใช้ยาฉีดคุมกำเนิดเป็นเวลานาน อาจส่งผลลบต่อความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนได้
ประสิทธิภาพ 97 - 99 %
ยาฝังคุมกำเนิด
เป็นหลอดยาขนาดเล็ก ภายในบรรจุฮอร์โมนโปรเจสตินไว้
ฝังเข้าไปใต้ผิวหนัง
ส่งผลต่อการตกไข่ และเพิ่มความข้นให้กับมูกช่องคลอด เพื่อขัดขวางการเคลื่อนตัวของอสุจิเข้าสู่มดลูก
ข้อดี
มีประสิทธิภาพสูง ออกฤทธิ์นานสูงสุด 3 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของยาคุมกำเนิดที่ใช้
ถอดออกได้เมื่อต้องการ
ข้อเสีย
ไม่สะดวกเหมือนวิธีการอื่น ๆ เพราะการใส่และถอดยาที่ฝังต้องทำโดยแพทย์ในสถานพยาบาลเท่านั้น
ผลข้างเคียงได้ เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดศีรษะ น้ำหนักขึ้น เจ็บหน้าอก เป็นต้น
ประสิทธิภาพ > 99 %
ถุงยางอนามัย
ข้อดี
ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ในระดับหนึ่ง
หาซื้อได้ง่าย มีขายตามร้านสะดวกซื้อ และ ร้านขายยาทั่วไป
ข้อเสีย
ความรู้สึกในขณะร่วมเพศลดลง
ถุงยางอาจรั่ว แตก ได้
อาจแพ้จากวัสดุที่ใช้ผลิตถุงยางอนามัยได้
ประสิทธิภาพ 85 - 98 %
การทำหมันชาย
เป็นการตัดและผูกท่อนำอสุจิ เพื่อไม่ให้อสุจิถูกปล่อยออกมาเมื่อมีการหลั่ง
ข้อดี
มีประสิทธิภาพสูง 97-98% , > 99 % หลังผ่าตัดไปแล้ว 3 เดือน
หลังการผ่าตัดแล้ว กลับบ้านได้ทันที ไม่ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล
ข้อเสีย
ป้องกันการตั้งครรภ์ได้หลังผ่าตัดไปแล้ว 3 เดือน
ต้องให้แพทย์ตรวจสอบก่อนว่าไม่มีอสุจิเล็ดรอดออกมาเมื่อมีการหลั่ง
รู้สึกปวดในช่วงฟักฟื้น
อาจเกิดผลข้างเคียงจากการผ่าตัดได้
การทำหมันหญิง
ผูกท่อนำไข่ ทำให้อสุจิไม่สามารถเคลื่อนตัวเข้าสู่มดลูกได้
ข้อดี
มีประสิทธิภาพสูง
ไม่ส่งผลต่อฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือโปรเจสตินในร่างกาย
มีอารมณ์ทางเพศได้เหมือนเดิม
อารมณ์ไม่แปรปรวน และประจำเดือนยังคงมาตามปกติ
ข้อเสีย
เป็นการคุมกำเนิดแบบถาวร จึงต้องตัดสินใจให้ดีก่อน เมื่อทำหมันไปแล้ว หากเปลี่ยนใจอาจต้องแก้ไขโดยการผ่าตัดเพื่อเปิดท่อนำไข่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง และอัตราความสำเร็จในการผ่าตัดเปิดท่อรังไข่ยังขึ้นอยู่กับอายุและระยะเวลาที่ทำหมันไปแล้ว
อาจเสี่ยงมีเลือดออกหรือเกิดการบาดเจ็บที่หลอดเลือด ลำไส้ หรือกระเพาะปัสสาวะได้
ประสิทธิภาพ > 99 %