การดูแลระยะใกล้เสียชีวิตมีความเปลี่ยนแปลง 2 ด้าน คือ
1. การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย
ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาใดๆ เพราะจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ควรให้พักผ่อนให้เต็มที่ เน้นความสุขสบาย
ดูแลความสะอาดของร่างกาย
ผู้ป่วยจะกินอาหารน้อยลง
ซึ่งความเบื่ออาหารที่เกิดขึ้น เป็นผลดีมากกว่าผลเสีย เพราะทำให้มีสารคีโตนในร่างกายเพิ่มขึ้น สารคีโตนจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น และบรรเทาอาการเจ็บปวดได้
รับประทานทานอาหารเท่าที่ได้
ถ้าเริ่มกลืนลำบาก พิจารณาให้ยาบรรเทาอาการไม่สุขสบายทางอื่น เช่น ทางใต้ผิวหนัง
ภาวะขาดน้ำที่เกิดขึ้นได้ ไม่ทำให้ผู้ป่วยทรมานมากขึ้น
ตรงกันข้ามกลับกระตุ้นให้มีการหลั่งสาร endorphins ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น
หากปาก/ ริมฝีปากแห้ง จมูกแห้ง และตาแห้ง ให้หมั่นทำความสะอาด และรักษาความชื้นไว้
ใช้สำลีหรือผ้าสะอาดชุบน้ำแตะที่ปาก ริมฝีปาก หรือใช้สีผึ้งทาที่ริมฝีปาก สำหรับตาก็ให้หยอดน้ำตาเทียม
ควรให้ผู้ป่วยหลับ ไม่ควรพยายามปลุกให้ตื่น
เกิดจากความอ่อนล้า ไม่มีเรี่ยวแรง และบางครั้งมีรูปร่างผอมมากจึงทำให้หลับตาไม่สนิท แนะนำญาติดูแล eye care (หยอดน้ำตาเทียม)
ภาวะหายใจแบบหิวอากาศ (air hunger) เป็นลักษณะการหายใจที่พบได้บ่อย
ทำความเข้าใจ กับครอบครัวว่า ผู้ป่วยมักไม่ทุกข์ทรมาน
ควรอยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วยและครอบครัว
อาจไม่ได้เกิดจากความเจ็บปวดเสมอไป แต่อาจเกิดขึ้น
จากการเปลี่ยนแปลงทางสมอง
แพทย์สามารถให้ยาระงับอาการเหล่านี้ได้
เกิดจากผู้ป่วยไม่สามารถกลืนน้ำลายได้ ไม่ใช่การสำลัก
อย่าให้สารน้ำมากเกินไป
จับผู้ป่วยนอนตะแคงแล้วเช็ดน้ำลายจากปาก
ควรให้ยาลดเสมหะแทนการดูดเสมหะ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกทรมานเพิ่มขึ้นด้วย
ไม่ควรคิดว่าผู้ป่วยไม่สามารถรับรู้หรือได้ยินสิ่งที่มีคนพูดกันอยู่ข้างๆ
เพราะผู้ป่วยอาจจะยังได้ยินและรับรู้ได้ แต่ไม่สามารถสื่อสารให้ผู้อื่นทราบได้
ไม่ควรพูดคุยกันในสิ่งที่จะทำให้ผู้ป่วยไม่สบายใจ หรือเป็นกังวล
ผู้ป่วยที่กำลังจะเสียชีวิต จะมีความต้องการการดูแลทางด้านจิตใจเป็นอย่างมาก
สิ่งที่คนใกล้เสียชีวิตกลัวที่สุด คือ การถูกทอดทิ้ง การอยู่โดดเดี่ยว และ ต้องการใครสักคนอยู่ข้างๆ
ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ควร พูดคุย และ เป็นผู้ฟังที่ดี
ให้โอกาสผู้ป่วยได้แสดงความรู้สึกและความต้องการ
ควรปฏิบัติตามความต้องการของคนใกล้เสียชีวิต
หากมีปัญหาในการดูแลสามารถติดต่อแพทย์ได้นะครับ