ทำได้ 3 วิธี คือ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวด (intensive lifestyle modification)
การผ่าตัดลดน้ำาหนัก (bariatric surgery)
การใช้ยา
หมายถึง
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
ที่ได้รับการดูแลรักษาจนสามารถควบคุมน้ำตาล ในเลือดให้อยู่ใน ระดับที่ต่ำกว่า ระดับที่ใช้เป็นเกณฑ์การวินิจฉัยโรคเบาหวาน (HbA1c < 6.5%) และ
คงอยู่อย่างน้อย 3 เดือน
โดยไม่ต้องใช้ยาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ HbA1C ต้องมีมาตรฐาน Inter national Federation of Clinical Chemistry and Laboratory Medicine; IFCC
ถ้าไม่มี สามารถใช้ fasting plasma glucose (FPG) <126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือ ค่าประมาณของ HbA1c (estimated HbA1c,eA1c) ที่แปลงมาจากการทำา continuous glucose monitoring (CGM) ได้
ให้ใช้ผลการตรวจ HbA1c อย่างน้อย 3 เดือน หลังหยุดยา
ให้ใช้ผลการตรวจ HbA1c อย่างน้อย 6 เดือน หลังเริ่มการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ยังไม่มีหลักฐานว่า Complication ต่างๆจะกลับมาปกติ ยังต้องได้รับการติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
ควรตรวจ HbA1c อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
และควรยังคงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตที่ดีต่อสุขภาพไว้
ยังไม่มีหลักฐานว่าโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จะสามารถเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบได้
วินิจฉัย DM2 ไม่เกิน 5 ปี และ ภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่า 25 กิโลกรัม/เมตร²)
เบาหวาน อื่นๆ ก็มีโอกาสเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบได้เช่นกัน
ผู้ที่ไม่ควร มีดังนี้
โรคไตวายเรื้อรัง ระยะที่ 4 eGFR < 30
โรคหัวใจล้มเหลวรุ่นแรง หรืออาการไม่คงที่
โรคหัวใจขาดเลือดใน 6 เดือน
DM ที่วินิจฉัยก่อนอายุ 30 ปี และไม่มีลักษณะของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ชัดเจน หรือมีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัวเด่น
เบาหวานชนิด latent autoimmune diabetes in adults (LADA)
เบาหวานชนิดที่ 1
เบาหวานในเด็กและวัยรุ่นที่อายุน้อยกว่า 18 ปี
เบาหวานที่ตั้งครรภ์
ประเมินสภาวะผู้ป่วยเบื้องต้น
ให้ข้อมูล
สร้างแรงจูงใจ by MI
ร่วมกันตั้งเป้าหมายการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน
ออกแบบวางแผน เพื่อลดน้ำหนัก และระดับน้ำตาลในเลือด
ให้ผู้ป่วยตัดสินใจร่วมกันกับ แพทย์ และทีมสหวิชาชีพ
ติดตาม
2 สัปดาห์แรก
ระยะเดือนแรก FBS , การเปลี่ยนแปลงน้ำหนัก , อาการต่าง
3 เดิอน HbA1C (ผู้ที่ใช้ยา/ ผ่าตัด มาก่อน)
6 เดิอน HbA1C (ผู้ที่ไม่ใช้ยามาก่อน)
เมื่อเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบแล้ว
รับประทานรูปแบบอาหารปกติที่ดีต่อสุขภาพ
คงกิจกรรมทางกาย และการออกกำลังกายไว้ เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคเบาหวาน
คนปกติ : 1.2 - 1.5 กรัมต่อน้ำาหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
ไตวายระยะที่ 3 : 0.8 - 1.3 กรัมต่อน้ำาหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
มากกว่า 2 ลิตร ต่อวัน เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำมี 2 ระดับคือ
ระดับต่ำ (low) คือ คาร์โบไฮเดรตต่ำกว่า 130 กรัมต่อวัน หรือน้อยกว่าร้อยละ 26 ของพลังงานต่อวัน
ระดับต่ำมาก (very low) คือรับประมาณคาร์โบไฮเดรต 50 กรัมต่อวัน หรือน้อยกว่าร้อยละ 10 ของพลังงานต่อวัน
ถ้าปริมาณคาร์โบไฮเดรต 20-50 กรัมต่อวัน จะทำให้มีการสร้างสารคีโตนขึ้น ถือเป็นอาหารแบบคีโตเจนิค (ketogenic diet)
อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำช่วยให้
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
ช่วยลดน้ำหนัก
ลดความหิว
ลดภาวะดื้ออินซูลิน
ลดไขมันในตับและตับอ่อน
ช่วยฟื้นการทำงานของเบต้าเซลล์ในตับอ่อน
ช่วยลดความดันโลหิต
ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
ผู้ป่วยควรได้รับการสอนการนับปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารแล ะการอ่านฉลากโภชนาการ โดยสามารถศึกษาการนับปริมาณคาร์โบไฮเดรตเพื่อใช้ประกอบการสอนผู้ป่วย หรือแนะนำให้ผู้ป่วยศึกษาด้วยตนเองได้จากหนังสือ “รู้จักคาร์บ รู้จักนับ ปรับสมดุล ควบคุมเบาหวาน” ซึ่งจัดทำโดย สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน
ในเดือนแรก คาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า 50 กรัมต่อวัน
ชนิดเชิงซ้อนที่มีดัชนีน้ำตาล (glycemic index) ต่ำ เป็นหลัก
และเพิ่มปริมาณโปรตีนและไขมันดีจากธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยลดความหิวได้
รับประทานอาหารเป็น 3 มื้อหลัก โดยงดอาหารว่างหรือเครืองดื่ม ที่มีพลังงานระหว่างมื้อ
ในเดือนที่สองและสาม
เมื่อความหิวลดลงให้ปรับลดจำนวน มื้ออาหารเป็น 2 มื้อหลัก โดยรับประทานในช่วงเวลา 8 ชั่วโมงในแต่ละวัน และ หากไม่หิวอาจลองรับประทานอาหารวันละหนึ่งมื้อเป็นบางวันได้
ในระยะต่อมา
เมื่อน้ำหนักตัวลดลงและระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับเป้าหมาย
ให้เพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรต 10-15 กรัมในแต่ละสัปดาห์ โดยติดตามน้ำหนักตัว และระดับน้ำาตาลในเลือดอย่างต่อเนือง
ช่วยลดภาวะดื้ออินซูลิน และลดน้ำหนักได้
ป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายทั้ง
ชนิดแอโรบิค เช่น การเดิน การวิ่ง การปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ
ชนิดมีแรงต้าน เช่น การยกน้ำหนัก เครื่องออกกำลังกายชนิดมีแรงต้าน ยางยืด หรือการใช้น้ำหนักตัวเอง
ในระยะ 1-2 เดือนแรก
ความหนัก ปานกลาง อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และ อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
เพิ่มระดับการออกกำลังกาย ในระยะต่อมาเมื่อน้ำหนักตัวเริ่มคงที่ และระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ใกล้เคียงระดับปกติ
ตั้งเป้าหมายการเดินให้มากกว่า วันละ 10,000 ก้าว